veneer-day

บริการทันตกรรมเด็ก

ทันตกรรมเด็กแต่ละช่วงวัย

แบ่งๆออกเป็น 3 ช่วงวัยตามพัฒนาการของฟัน ดังนี้

1.ทำฟันเด็กเล็ก

เด็กเล็ก หมายถึง เด็กในช่วงอายุประมาณ 6 เดือน – 2 ปี เป็นช่วงที่ฟันน้ำนมเริ่มขึ้นและขึ้นจนครอบ เด็กในวัยนี้ยังไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้มากนัก ทันตกรรมในช่วงนี้จึงจะเน้นเรื่องการแนะนำในการดูแลฟันน้ำนมให้กับคุณพ่อคุณแม่

ส่วนใหญ่จะเป็นการแนะนำในเรื่องการทำความสะอาดฟันน้ำนมอย่างถูกวิธี พฤติกรรมการกินนมหรือใช้ขวดนมที่ดีต่อฟันน้ำนม การเลิกนมมือดึก การเลิกขวดนม การเลือกอาหารว่างที่เหมาะสมกับฟันของเด็ก

2.ทำฟันเด็กวัยอนุบาล

เด็กวัยอนุบาล เป็นเด็กในช่วงอายุประมาณ 3 – 6 ปี เป็นช่วงของการดูแลฟันน้ำนมเมื่อขึ้นครบแล้ว เด็กในวัยนี้เริ่มดูแลรักษาฟันด้วยตัวเองได้แล้ว และเป็นวัยที่เริ่มพบฟันผุจนมีอาการปวดฟันได้เช่นกัน

การทำฟันเด็กในวัยนี้จะเน้นที่การแนะนำให้เด็กรู้จักกับเครื่องมือต่างๆ ที่ใช้ในการดูแลรักษาฟันและวิธีการดูแลช่องปากที่ถูกต้อง เพื่อเป็นการสร้างทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับการทำทันตกรรมให้เด็ก

โดยสิ่งที่แนะนำจะมีตั้งแต่การแปรงฟัน ขัดฟัน ตรวจฟัน เคลือบฟลูออไรด์ ไปจนถึงทันตกรรมเด็กอื่นๆ ที่ซับซ้อนมากขึ้นเมื่อเด็กๆ เริ่มคุ้นเคย และในการทำฟันแต่ละครั้ง ทันตแพทย์จะไม่ทำฟันนาน แต่จะนัดพบหลายครั้งแทน เพื่อไม่ให้เด็กวัยนี้เครียดจนเกินไป เมื่อเด็กคุ้นเคยมากขึ้นจึงจะเริ่มเพิ่มเวลา

3.ทำฟันเด็กโต

เด็กโต คือเด็กในช่วงอายุประมาณ 7 – 12 ปี เป็นช่วงที่ฟันแท้เริ่มขึ้นมาแทนที่ฟันน้ำนม และเป็นช่วงที่เด็กโตพอที่จะดูแลตัวเองได้อย่างดี และสามารถควบคุมตนเองได้ระหว่างการทำฟัน

ทันตกรรมเด็กที่จะทำในเด็กโต จะเน้นไปที่การแนะนำเกี่ยวกับการดูแลฟันแท้ อย่างข้อควรระวังเกี่ยวกับการดูแลฟันหน้า การป้องกันฟันแท้ผุโดยเฉพาะที่ฟันกรามแท้ เป็นต้น

ทันตกรรมเด็ก แตกต่างกับผู้ใหญ่อย่างไร

ทันตกรรมเด็กแตกต่างจากผู้ใหญ่ เนื่องจากฟันน้ำนมในเด็กกับฟันแท้ในผู้ใหญ่นั้นจะมีโครงสร้างที่แตกต่างกัน การทำฟันเด็กจะเน้นดูแลและป้องกันฟันผุเป็นหลัก เนื่องจากลักษณะของฟันน้ำนมนั้น ผุได้ง่ายกว่าฟันแท้ อีกทั้งตัวฟันก็ซี่เล็กกว่าฟันแท้ด้วยและเด็กยังเป็นวัยที่ยังไม่สามารถแยกความเจ็บปวดออกจากความกลัวหรือความเครียดได้ เมื่อมีอาการปวดฟันหรือรู้สึกกดดันเมื่อทำฟันก็จะไม่สามารถควบคุมตนเองได้

ทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการทำฟันเด็ก จึงจะต้องมีความเชี่ยวชาญในเรื่องจิตวิทยาการสื่อสารกับเด็กๆ ด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่แตกต่างกับทันตกรรมในผู้ใหญ่ค่อนข้างมาก

ฮาชิคลินิก มีบริการทันตกรรมเด็กอะไรบ้าง?

1.ตรวจสุขภาพฟันเด็ก 

เป็นการตรวจเนื้อเยื่อทุกอย่างในช่องปากเหมือนกับผู้ใหญ่ ตรวจตั้งแต่ฟัน เหงือก ไป จนถึงลิ้นและเนื้อเยื่ออื่นๆ ที่มีผลกับสุขภาพช่องปากในเบื้องต้น

ตรวจฟันเด็กได้ตั้งแต่อายุเท่าไหร่

เริ่มตรวจได้ตั้งแต่ฟันซี่แรกขึ้นเลย ส่วนใหญ่นั้นจะเป็นช่วงที่เด็กอายุประมาณ 6 เดือน แพทย์จะตรวจสุขภาพช่องปาก รวมทั้งให้คำแนะนำกับคุณพ่อคุณแม่ หรือผู้ปกครอง ว่าควรดูแลฟันน้ำนมของเด็กๆตั้งแต่เริ่มต้นอย่างไรได้บ้าง

การตรวจฟันเด็กควรทำทุกๆ 6 เดือน โดยทันตแพทย์จะเป็นผู้นัดเวลา แต่ถ้าหากเด็กมีความเสี่ยงที่จะฟันผุหรือเป็นโรคเหงือกได้มาก อาจจะนัดให้มาพบทุกๆ 3 เดือน เพื่อติด ตามดูอาการต่อไป

2.เคลือบฟลูออไรด์

การเคลือบฟลูออไรด์ เป็นทันตกรรมเพื่อป้องกันฟันผุ โดยจะนิยมทำกันในการทำฟันเด็ก เนื่องจากฟันน้ำนมสามารถผุได้ง่ายกว่าฟันแท้

เคลือบฟลูออไรด์เริ่มทำได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือนเมื่อมีฟันซี่แรกงอกขึ้นมา แต่ในช่วงวัยนี้เด็กมีโอกาสที่จะลืนฟลูออไรด์ได้ ดังนั้นอายุที่ทันตแพทย์แนะนำให้เคลือบฟลูออไรด์คืออายุ 3 ปีขึ้นไป แม้จะเลยวัยเด็กไปแล้วก็สามารถทำได้เช่นกัน ถ้ามีความเสี่ยงที่ฟันจะผุมาก หรือทันตแพทย์แนะนำให้ทำ

เคลือบฟลูออไรด์มีกี่ประเภท

การเคลือบฟลูออไรด์ในเด็ก โดยทันตแพทย์มี 2 ประเภท

  1. ฟลูออไรด์แวนิช (Fluoride Varnish) คือฟลูออไรด์สำหรับป้ายฟัน เมื่อป้ายฟันที่แห้งอยู่เนื้อฟลูออไรด์แวนิชจะติดกับฟันโ ดยไม่ต้องใช้ถาดฟลูออไรด์การเคลือบฟลูออไรด์ชนิดนี้จึงเหมาะกับเด็กอายุต่ำกว่า 6 ขวบ
  2. ฟลูออไรด์เจล(FluorideGel)คือฟลูออไรด์ที่จะใช้กับถาดฟลูออไรด์ (Fluoride Tray) เพื่อให้เคลือบผิวฟันอย่างทั่วถึง วิธีนี้ใช้ทั้งในเด็กอายุตั้งแต่ 6 ขวบขึ้นไป และในผู้ใหญ่

ประโยชน์ของการเคลือบฟลูออไรด์

ฟลูออไรด์ (Fluoride) เป็นแร่ธาตุหนึ่งที่มีการศึกษามาอย่างยาวนาน และมีงานวิจัยรับรองทางการแพทย์ว่า สามารถป้องกันฟันผุได้ ดังนั้นทันตแพทย์จึงนำฟลูออไรด์มาใช้เคลือบผิวฟันเพื่อป้องกันฟันผุ ลดอาการเสียวฟัน และสามารถซ่อมแซมฟันผุในระยะแรกได้ด้วย 

ในทันตกรรมเด็กที่ต้องดูแลฟันน้ำนมที่มีความเสี่ยงฟันผุได้มาก จึงนิยมการเคลือบฟลูออไรด์กันมากเพื่อลดความเสี่ยงฟันผุลง เพราะหากฟันผุในเด็กเล็กจนมีอาการปวด จะทำให้เด็กมีประสบการณ์ที่ไม่ดีกับการหาหมอฟัน และเมื่อเด็กๆขัดขืนก็จะรักษาได้ยากขึ้นด้วย

ขั้นตอนการเคลือบฟลูออไรด์

การเคลือบฟลูออไรด์จะเริ่มจากการขัดฟันนำเศษอาหารและคราบที่ฟันออกให้หมดแล้วจึงเคลือบฟลูออไรด์

  • หากเป็นฟลูออไรด์แวนิช แพทย์จะเป่าฟันหรือเช็ดฟันให้แห้งแล้วจึงป้ายฟลูออ ไรด์แวนิชลงไป เพราะถ้าฟันไม่แห้ง ฟลูออไรด์จะไม่ติดฟัน
  • ส่วนตัวฟลูออไรด์เจลนั้นทันตแพทย์จะนำฟลูออไรด์ใส่ถาดที่วัดแล้วว่าพอดีกับขนาดฟันและครอบคลุมถึงฟันกรามซี่ในสุด ให้เด็กกัดไว้ประมาณ 4 นาทีเพื่อให้ฟลูออไรด์เคลือบทั้งฟัน ระหว่างรอก็จะคอยดูดน้ำลายและตัวฟลูออไรด์ส่วนเกินออก เพื่อไม่ให้เด็กกลืนลงไป

การดูแลหลังเคลือบฟูลออไรด์ 

หลังจากเคลือบฟลูออไรด์แล้ว แพทย์จะให้งดบ้วนปาก ดื่มน้ำ หรือทานอาหารเป็นเวลาประมาณ 30 นาที เพื่อทิ้งให้ฟลูออไรด์ได้ทำงานก่อนที่จะโดนล้างออกไป หากเคลือบฟลูออไรด์แวนิช แพทย์จะให้งดของแข็ง 1-2 ชั่วโมงหลังทำ และงดแปรงฟันในวันที่เคลือบฟลูออไรด์ด้วย 

3.อุดฟันน้ำนม

แม้ฟันน้ำนมจะเป็นชุดฟันชั่วคราวที่จะหลุดออกไปเมื่อโตขึ้นแต่การผุในฟันน้ำนมก็สร้างความเจ็บปวดให้กับเด็กๆได้ จึงต้องมีทันตกรรมรักษาฟันผุอย่างการอุดฟันในเด็กด้วย

การอุดฟันของทันตกรรมเด็กจะแตกต่างกับทันตกรรมของผู้ใหญ่ที่การสื่อสารกับเด็ก เนื่องจากระหว่างการอุดฟัน ในขั้นตอนการกรอฟันผุออก อาจจะทำให้เสียวฟันได้ เด็กที่ไม่เคยรู้จักอาการเสียวฟันอาจจะรู้สึกกลัวจนไม่ให้ความร่วมมือในการรักษา

ในขั้นตอนการอุดฟันทันตแพทย์เด็กจึงต้องใช้จิตวิทยาในการสื่อสารกับเด็กๆค่อนข้างมาก และต้องใช้ยาชาเฉพาะที่ช่วย เพื่อให้เด็กไม่เจ็บและเสียวฟันน้อยลง

การอุดฟันน้ำนมมีกี่ประเภท

การอุดฟันน้ำนมมี 3 ประเภท แบ่งออกตามวัสดุอุดที่ใช้อุดฟัน ได้แก่

  1. อุดฟันอมัลกัม (Amalgam) เป็นการอุดฟันด้วยวัสดุโลหะอมัลกัมข้อดีคือเป็นวัสดุที่คงทน แข็งแรง เหมาะกับการอุดฟันกราม แต่ข้อเสียก็คือมีสีเงินเหมือนโลหะ โดดออกมาจากสีขาวของฟัน เมื่ออุดฟันอมัลกัมจึงดูไม่สวยงามนัก
  2. อุดฟันเรซินคอมโพสิต (Composite Resin) เป็นการอุดฟันด้วยเรซินสีเดียวกับเนื้อฟัน ทำให้ฟันที่อุดดูสวย เหมาะกับการอุดฟันที่ฟันหน้า แต่ก็มีข้อเสียที่วัสดุอุดแบบนี้ไม่แข็งแรงมากนักเมื่อเทียบกับอมัลกัม
  3. อุดฟันกลาสไอโอโนเมอร์ (Glass Lonomer) เป็นการอุดฟันด้วยวัสดุกลาสไอโอโนเมอร์ที่สีเหมือนฟัน อีกทั้งตัววัสดุยังสามารถปล่อยฟลูออไรด์ออกมาได้ เหมาะมากกับตำแหน่งที่ฟันผุมาก และมีแนวโน้มที่ฟันจะผุเพิ่ม แต่มีข้อเสียที่สีไม่เหมือนฟันเท่าเรซิน และยังแข็งแรงน้อยที่สุดในวัสดุอุดทั้งหมดด้วย

ขั้นตอนการอุดฟันน้ำนม

  1. ทันตแพทย์เด็กหรือหมอฟันเด็กจะตรวจเช็คว่ามีฟันผุกี่ซี่ อาการผุร้ายแรงหรือไม่ต้องรักษาด้วยการอุดฟันธรรมดาหรือฟันผุจนถึงเส้นประสาทจนต้องรักษารากฟัน
  2. จะใช้ยาชาเฉพาะที่เพื่อลดอาการเจ็บ หรืออาการเสียวฟัน
  3. กรอฟันในส่วนที่ผุออก
  4. อุดฟันด้วยวัสดุอุดที่ทันตแพทย์เลือกไว้ตามความเหมาะสม ซึ่งวัสดุที่ใช้อุดบางชนิด ต้องมีการฉายแสงเมื่ออุดด้วย
  5. ตกแต่งวัสดุอุดให้สวยงาม และเหมาะกับฟันคู่สบ เพื่อให้เด็กสามารถใช้ฟันได้ตามปกติ

การดูแลหลังอุดฟันน้ำนม

ข้อควรระวัง คือระวังไม่ให้เด็กเคี้ยวของแข็งหลังจากนั้น เพราะวัสดุอุดสามารถแตกหักได้ โดยเฉพาะวัสดุสีเหมือนฟันอย่างเรซินคอมโพสิต หรือกลาสไอโอโนเมอร์ ส่วนวัสดุอมัลกัม หลังอุดฟันแล้วห้ามใช้ซี่ที่อุดเคี้ยวอาหารเป็นเวลา 24 ชั่วโมง หลังจากนั้นจึงสามารถใช้งานได้ตามปกติ

4.ถอนฟันน้ำนม 

โดยปกติแล้วฟันน้ำนมจะเริ่มคลอนและหลุดออกเมื่อฟันแท้ขึ้นมาแทนที่ แต่ก็มีสาเหตุที่ต้องถอนออกก่อนที่ฟันจะคลอนเช่นกัน

  • ฟันน้ำนมผุจนไม่สามารถรักษาได้ หรือฟันผุมากในช่วงที่ฟันแท้กำลังจะขึ้น จะพิจารณาให้ถอนฟันน้ำนมออกไปเลย
  • ฟันแท้เริ่มขึ้น แต่ฟันน้ำนมยังไม่หลุดไป ในฟันบางตำแหน่งหากปล่อยให้ฟันแท้กับฟันน้ำนมขึ้นซ้อนกันอาจจะเป็นปัญหาในภายหลังได้ หมอฟันเด็กจึงแนะนำให้ถอนฟันน้ำนมออกไปก่อน เพื่อเว้นที่ให้ฟันแท้ขึ้นเต็มที่
  • ในกรณีที่ฟันน้ำนมเกินมาจนไปเบียดกับซี่อื่น หมอฟันเด็กจะแนะนำให้ถอนออกไปก่อนเช่นกันเนื่องจากถ้าปล่อยไว้ฟันที่เหลือจะเคลื่อนผิดตำแหน่งหากฟันแท้ขึ้นมาก็จะทำให้ฟันแท้ขึ้นผิดตำแหน่งด้วย

ขั้นตอนการอุดฟันน้ำนม 

  1. ทันตแพทย์ตรวจวินิจฉัย วางแผนการรักษาว่าควรถอนฟันเลยหรือไม่ หรือต้องใส่อุปกรณ์กันฟันล้มเลยหรือเปล่ารวมทั้งวางแผนวิธีเข้าหาเด็กว่าต้องรักษาอย่างไรเด็กจึงจะให้ความร่วมมือขณะถอนฟัน
  2. ก่อนถอนฟันทันตแพทย์จะใช้ยาชาในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อให้เด็กรู้สึกเจ็บให้น้อยที่สุด ก่อนเริ่มขั้นตอนการถอนฟัน ทันตแพทย์ต้องแน่ใจจริงๆว่ายาชาออกฤทธิ์แล้ว เพราะเด็กบางคนอาจจะร้องไห้ขณะรักษา ไม่ได้ร้องไห้จากความเจ็บปวด แต่อาจจะร้องได้จากความกลัวหรือความกดดัน
  3. เมื่อยาชาออกฤทธิ์แล้ว ทันตแพทย์จะถอนฟัน ถ้าฟันแน่นมากก็จะต้องเปิดเหงือกก่อนการถอนฟันด้วย
  4. ห้ามเลือดหลังการถอนฟันด้วยการกัดผ้าก๊อช หรือถ้ามีเลือดออกมากอาจจะต้องเย็บแผลด้วย

การดูแลหลังการถอนฟันเด็ก 

หลังทำการถอนฟันน้ำนมแล้วทันตแพทย์จะให้กัดผ้าก๊อชห้ามเลือดไว้ประมาณ 30 นาที คุณพ่อคุณแม่ต้องคอยดูลูกว่าลูกยังกัดผ้าก๊อชอยู่หรือไม่ และต้องกระตุ้นให้กลืนน้ำลายบ่อยๆ เนื่องจากหากผ้าก๊อชไม่อยู่กับที่หรือชุ่มน้ำลายเกินไป จะทำให้เลือดหยุดไหลช้า หลังจาก 30 นาทีหากเลือดไม่หยุดไหล ให้เปลี่ยนผ้าก๊อชอันไหม่ และกัดไปอีกเรื่อยๆจนกว่าจะหยุดไหล หลังจากเลือดหยุดแล้วผู้ปกครองต้องคอยดู และเตือนไม่ให้เด็กดูดแผลเล่น เพราะจะทำให้เลือดไหลได้อีก

ถ้าทันตแพทย์จ่ายยามา ก็ให้ผู้ปกครองให้ยากับเด็กตามที่ทันตแพทย์บอก หลีกเลี่ยงอาหารแข็ง อาหารรสจัดในวันแรก และหลีกเลี่ยงการแปรงฟันในบริเวณที่ถอนฟัน ในช่วง 1–2 วันแรก ป้วนปากบ่อยๆไม่ให้เศษอาหารลงไปในแผลหลังจากนั้นเด็กๆสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ

5.ขูดหินปูน ขัดฟันสำหรับเด็ก 

ทันตกรรมเด็ก จำเป็นต้องมีการขูดหินปูนเหมือนกับผู้ใหญ่ เพราะหินปูนเป็นต้นเหตุให้เกิดฟันผุและโรคเหงือกอักเสบได้

การขูดหินปูนไม่ได้มีกำหนดว่าควรเริ่มขูดเมื่อไหร่ หากพาเด็กๆ มาพบหมอฟันเด็กเป็นประจำทุก 6 เดือนอยู่แล้ว หมอจะบอกให้ทำถ้าเริ่มมีหินปูนและมีปัญหาเกี่ยวกับเหงือก

ขั้นตอนการขูดหินปูนสำหรับเด็ก 

ขั้นตอนการขูดหินปูนสำหรับเด็ก ไม่ได้ต่างกับการขูดหินปูนในผู้ใหญ่ โดยขั้นตอนการขูดหินปูนมี ดังนี้

  1. ตรวจฟัน ซักประวัติ วางแผนการรักษา และการเข้าหาเด็ก เพื่อให้เด็กให้ความร่วมมือระหว่างการรักษามากที่สุด
  2. เริ่มการขูดหินปูนด้วยเครื่องอัลตราโซนิก ระหว่างใช้งาน เครื่องมือนี้จะมีน้ำหล่อที่ฟันเพื่อลดความร้อนอยู่เสมอ ทันตแพทย์จะใช้เครื่องดูดน้ำลาย ดูดน้ำส่วนนี้ออกไปด้วยเรื่อยๆ
  3. ใช้เครื่องมือปลายแหลมขุดหินปูนเพิ่มในจุดที่เครื่องอัลตราโซนิกเข้าไม่ถึง
  4. ขัดฟันด้วยไหมขัดฟัน ตามซอกฟันที่เครื่องมือขัดฟันเข้าไม่ถึง
  5. ทำความสะอาดตัวฟันด้วยผงขัดฟัน และหัวยางขัดฟัน

การดูแลหลังการขูดหินปูน 

การดูแลฟันหลังขูดหินปูนไม่ได้มีข้อควรระวังเป็นพิเศษหมอจะแนะนำให้เด็กๆ ใช้ไหมขัดฟัน แปรงฟันอย่างถูกวิธี เพื่อให้หินปูนก่อตัวได้ช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้